นับตั้งแต่ Rei Kawakubo นำ COMME des GARCONS ไปสู่เวทีแฟชั่น ณ กรุงปารีสเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1981 จนถึงคอลเล็คชั่น Spring/Summer 2020 กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ได้จัดแสดงคอลเล็คชั่นแล้วกว่า 77 ครั้งโดยไม่เคยเว้น แม้จะเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกับโชว์จำนวนมาก แต่ความคิดสร้างสรรค์ของเธอยังคงเป็นงานออกแบบที่มีความล้ำหน้ากว่าใคร และก้าวหน้าต่อไป
ในบทสัมภาษณ์ที่ เรย์ คาวาคูโบะ เรียกว่า “การพูดคุย” กับ Mitsuka Watanabe บรรณาธิการบริหารนิตยสารโว้ค ญี่ปุ่น ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของนิตยสาร และกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ได้มีส่วนร่วมในการถ่ายแฟชั่น ได้มีการพูดคุยหลายเรื่องที่เธอไม่เคยพูดที่ใดมาก่อน เพราะน้อยครั้งมากที่เรย์จะพบกับสื่อและตอบคำถามต่างๆด้วยตัวเอง คอลัมน์นี้จึงเป็นอะไรที่พิเศษจริงๆ ซึ่งการสัมภาษณ์กับโว้คญี่ปุ่นครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 7 ในช่วงเวลา 20 ปี
บ.ก.วาตานาเบะเล่าว่า ในวันที่นัดหมายพูดคุยแบบตัวต่อตัวตามคำขอของเรย์ เธอเดินจากสำนักงานใหญ่กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ มายังสำนักงานของนิตยสารโว้คในชิบูยะ เป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรเพียงลำพัง และหลังจากได้พบและพูดคุยกันไปเรื่อยๆ ตามที่เรย์แนะนำ ความวิตกกังวลที่ต้องเผชิญหน้ากับเรย์ตามลำพังค่อยๆหายไป สุดท้ายเธอยอมรับว่าทุกอย่างอออกมาดีมากและกลายเป็นบทสัมภาษณ์ที่เครียดน้อยที่สุดที่เธอเคยเจอ
แม้ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรย์ยุ่งมากในการเปิดร้านสร้างแบรนด์ใหม่ และเตรียมคอลเล็คชั่น แต่เธอยินดีให้เวลากับนิตยสารเพื่อบอกเล่าถึงกระบวนการคิด การทำงานในหลายๆมุมที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้
“ฉันคิดว่าฉันทำงานในวงกว้างกว่าก่อน วันนี้ฉันไม่ค่อยมีโอกาสที่จะดำดิ่งกับอะไรโดยไม่คิดว่ามันน่ากลัวขนาดไหน นั่นอาจเป็นเพราะ อายุ อย่างตอนที่ฉันจัดแสดงงานที่นิวยอร์กเป็นครั้งแรก เพียงสองหรือสามปีหลังจากเปิดตัวที่ปารีส เมื่อมองย้อนกลับไป ตอนนี้ฉันประหลาดใจ ที่กล้าได้ทำสิ่งที่ท้าทาย นั่นเป็นเรื่องน่ากลัวที่ฉันไม่ได้ทำบ่อยๆ
มันคือพลังในรูปแบบหนึ่งที่มากับอายุ มาจากการเคยเป็นเด็ก บางทีประสบการณ์ก็นำเราไปเจอสิ่งที่ไม่เคยลองและเกิดเป็นแรงจูงใจที่จะทำให้มันเป็นไปได้ ทำให้คุณก้าวไปข้างหน้า แต่ถ้าเป็นสิ่งที่คุณเคยทำมาก่อนคุณรู้สึกว่าจะต้องทำให้สำเร็จมากกว่า ซึ่งจะทำให้มีอุปสรรค มากขึ้นและเป็นปัญหาที่ยากมาก
อย่างที่ฉันเสนอคุณว่า “วันนี้เรามาพูดคุยกันเถอะ”
การพูดคุยเป็นการสื่อสาร 2 ทาง มีการถาม การตอบของทั้ง 2 ฝ่าย เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมอง และความคิด ซึ่งทำให้ได้รู้ว่าการ ทำงานของเรย์เป็นการเริ่มต้นจากคนคนเดียว คือตัวเธอ
“เพราะการเตรียมทุกอย่างอยู่ในใจของฉัน มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะระบุไว้ในแบบฟอร์มสั่งซื้อแล้วขอคำแนะนำได้ ฉันไม่สามารถนำสิ่งที่ฉันครุ่นคิดอยู่ออกมาเป็นคำพูดได้ เพราะไม่มีใครฟังแล้วเข้าใจ มันเป็นงานที่โดดเดี่ยว เพราะเรื่องนั้นอยู่ข้างในฉัน ดังนั้นถ้าเกิดปัญหาจึงไม่ สามารถแก้ไขได้เพียงแค่การพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังจากการคิดในขั้นตอนการทำงาน กรอบงานบางอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น แล้วธีมก็ตามมาพร้อมคำถาม เช่น จะนำความคิดนั้นมาทำอย่างไร หรือวัสดุประเภทใดที่ฉันต้องการ เมื่อถึงขั้นนั้นมีคนอีกสอง สามคนที่ฉันสามารถพูดคุยได้ แต่ถึงขั้นตอนนี้เราได้ทำงานเสร็จไปสี่ใน ห้าของเส้นทางที่จะไปสู่เป้าหมายแล้ว แปดสิบเปอร์เซ็นต์แรกเกิดขึ้นในความมืด ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับทีมงานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างรูปแบบ พวกเขาคิดไม่ออกว่านักออกแบบที่พวกเขาทำงานด้วยในแต่ละวันกำลังคิดอะไร รู้สึกได้เพียงว่าเขากำลังจะทำบางสิ่งแต่ บอกชัดๆไม่ได้ว่าคืออะไร และปัญหาของพวกเขาจะยิ่งมากขึ้นในช่วงเวลาที่การทำคอลเล็คชั่นใกล้เข้ามาแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปเราจะใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนในการทำงานด้วยกัน เพื่อรวบรวมคอลเล็คชั่น”
COMME des GARCONS SS2013-SS2018
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเรย์ได้ปรับการทำงานหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการแถลงเปลี่ยนแนวคิดในการทำงานเป็น Not Making Clothes เมื่อปี 2013 และเปลี่ยนอีกครั้งในปี 2018 ซึ่งกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ไม่เคยประกาศเรื่องใดเป็นลายลักษณ์อักษรโดยเรย์มาก่อน จึงสร้างความแปลกใจให้กับสื่อมาก วันนี้เราได้คำตอบว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจากเรย์อยากหลุดออกจากกรอบความคิดที่เธอติดอยู่ และต้องการหาวิธีที่จะทำให้สิ่งใหม่ ๆ
เธอยอมรับว่า Not Making Clothes เป็นแนวคิดที่มีประสิทธิภาพในการค้นหาสิ่งใหม่ๆในการทำงาน แต่เมื่อถึงจุดที่เริ่มคุ้นเคยกับแนวคิดนั้น ความสนใจในวิธีการเดิมๆก็หมดไป ถึงเวลาที่จะหาวิธีการใหม่มาใช้และเริ่มความกังวลอีกครั้ง แต่นั่นกลับทำให้ต้องพยายามอีกสองหรือสามเท่าเพื่อค้นหาแนวทางต่อไป ซึ่งวิธีการทำงานของเรย์เป็นการมองหาวิธีที่จะนำความตื่นเต้นกลับมา และการออกแถลงการณ์ถึงวิธีใหม่สำหรับเธอเป็นเสมือน ’คำขอโทษ’ ที่หมายถึง "ขอโทษ ฉันไม่สามารถทำแบบนี้ต่อไปได้”
เพราะหลังจากทำอะไรใหม่หลายๆครั้งและเริ่มหมดความสนใจ นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าเธอควรจะก้าวต่อไปเพื่อทำสิ่งที่ง่ายกว่าแต่ แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งถ้าเธอไม่อธิบายเรื่องนี้ ทุกคนจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น และอาจคิดว่าเธอไปถึงขีดจำกัดของการทำงานแล้ว แต่การทำแบบนี้ทำให้ ผู้ที่ติดตามงานของเธอรู้สึกถึงการเติบโตและก้าวข้ามสิ่งที่สำคัญกว่าการออกแบบที่มีลวดลายขนาดใหญ่หรือเต็มไปด้วยรายละเอียด
เรย์รู้ว่าการสร้างรูปทรงหรือลวดลายที่น่าแปลกใจ การสร้างรูปลักษณ์ที่จดจำได้ทันทีว่าเป็นสิ่งใหม่นั้นค่อนข้างง่าย แต่การใช้แพทเทิร์น เดิมแล้วเพิ่มวัสดุบางอย่างที่ทำให้ผู้ชมตะลึงได้ อาจจะด้วยผ้าธรรมดาๆที่ทำด้วยวัสดุที่เรียบง่ายโดยไม่มีสีที่ดึงดูด หรือมีคุณสมบัติที่โดดเด่น นั่นคือเป้าหมายที่เธอกำลังจะทำ
COMME des GARCONS HOMME PLUS SS2020
COMME des GARCONS SS2020
อีกหนึ่งแถลงการณ์ของกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจคือการประกาศร่วมงานกับโรงละคร เวียนนา สเตจ โอเปร่า เฮาส์ ด้วยการออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับโอเปร่าเรื่อง’ออร์แลนโด’ ในโอกาสฉลองครบรอบ 150 ปีของโรงละครที่จะเปิดแสดงรอบปฐมทัศน์ในเดือน ธันวาคม 2019 พร้อมเปิดเผยธีมของคอลเล็คชั่นเสื้อผ้าสุภาพบุรุษและสตรีในปีนี้ว่ามาจากธีมละครเรื่องนี้ ซึ่งกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อน
เรย์ตอบเรื่องนี้ว่า ก็เป็นเพียงการประกาศธีมแต่ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบเสื้อผ้า โดยโครงการนี้เริ่มมาประมาณ 1 ปีแล้ว นับเป็นครั้งแรกที่เรย์ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบเครื่องแต่งกายโอเปร่า และเป็นครั้งแรกเช่นกันที่เธอทำหน้าที่เพียงเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปดูเรื่องอื่นๆ เหมือนการทำงานปกติที่เธอจะรับผิดชอบภาพรวมทั้งหมดของการออกแบบและโชว์
เหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจรับงานนี้มาจากไลฟ์สไตล์ และงานสร้างสรรค์ของเวอร์จิเนีย วูล์ฟ เจ้าของบทประพันธ์ ซึ่งนับเป็น 2 สิ่งใหม่ในสมัยของวูล์ฟ จึงไม่ง่ายเลยที่จะจินตนาการถึงประสบการณ์ การดิ้นรน และการเสียดสีที่วูล์ฟต้องเจอ แต่เธอเก็บมันไว้เป็นพลังเพื่อเอาชนะอุปสรรค ซึ่งเรย์มองว่า กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ มีการทำงานแบบนั้นเช่นกัน ที่ผ่านมาเธอได้รับข้อเสนอจากหลากหลายโครงการ แต่เธอไม่มีเวลาเพียงพอหรือมากพอที่จะรับทำได้ ในขณะที่โครงการโอเปร่านี้ดูเหมือนจะสามารถแยกออกจากคอลเล็คชั่นปกติที่เธอออกแบบได้ กลายเป็นแต่ละส่วนที่แยกจากกันแล้วสามารถนำมารวมกันภายได้ใต้หัวข้อหลักของโครงการ ทำให้เธอสามารถทำงานตลอดทั้งปีนั้นได้โดยไม่สะดุด และเธอเรียกงานนี้ว่า "a story “




Kawakubo's work featured in a major exhibition at The Met in 2017
เช่นเดียวกับนิทรรศการ “Art of the In-Between” ที่ The Met นิวยอร์ก เมื่อปี 2017 ครั้งนั้นเรย์ และกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ตอบรับคำเชิญและจัดทำได้ เพราะเป็นการนำผลงานของแบรนด์ที่จัดเก็บไว้ไปจัดแสดงโดยที่เธอไม่ต้องรับผิดชอบรายละเอียดใดๆในการจัดงาน ทำให้มีอิสระกับการนำเสนอภาพลักษณ์ตามที่ต้องการ และเชื่อว่านิทรรศการนี้เป็นตัวอย่างของการจัดแสดงเสื้อผ้าที่หากมีโอกาสจะทำอีกครั้งใน อนาคตเธอคงทำแบบนี้
อีกเรื่องที่บ.ก.วาตานาเบะอยากรู้คือการขยายร้านเปิดตลาดใหม่ของกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ หนึ่งในนั้นคือ Dover Street Parfums Market ที่เปิดตัวในปารีสในวันที่ 1 ตุลาคม เรย์ได้อธิบายที่มาของร้านนี้ว่า จริงๆ กอมม์ เดส์ การ์ซงส์มีร้านน้ำหอมเล็กๆในปารีสอยู่แล้ว และเมื่อจะปิดร้านนั้นโครงการนี้จึงเริ่มขึ้น เป็นการดำเนินการที่มีแนวคิดและวิธีการทางการตลาดที่แตกต่างจากร้านน้ำมีหอมที่มีอยู่มากมายในปารีสเล็กน้อย เป็นการทำให้ร้านมีบรรยากาศของความวุ่นวายในรูปแบบของ Dover Street Market แต่ขนาดเล็กกว่าร้านอื่นๆของแบรนด์เดียวกัน
แม้เรย์จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่เธอยังคงทำงานตามตรรกะของตนเอง คือดูแลการทำงานอย่างใกล้ชิด ทุกอย่างต้องผ่านตาของเธอ ซึ่งสามารถทำแบบนั้นได้เพราะเธอไม่ได้มีทีมงานที่ใหญ่ จึงดูแลส่วนต่างๆได้ทั่วถึงว่าข้อมูลที่ส่งถึงกันนั้นถูกต้องไหม แม้วันนี้จะมีอีเมลที่ทำให้การทำงานง่ายขึ้นแต่เรย์ก็ยังคงยุ่งและวุ่นวายกับงานไม่จบ
เรย์เชื่อว่าในขณะที่โลกโดยรวมกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งที่ทำให้การทำงานของกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ยังคงก้าวไปอย่าง ต่อเนื่องโดยไม่ถูกการเปลี่ยนแปลงครอบงำ มาจากขนาดของธุรกิจที่เธอสามารถดูแลได้
บ.ก.วาตานาเบะเล่าว่า ตอนไปเยี่ยมชมโชว์รูมที่ปารีสหลังจากชมคอลเลคชั่นในซีซั่นก่อน เธอเห็นเรย์นั่งอยู่ในห้องกระจกด้านหลัง กำลังทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์ แต่เรย์บอกว่าช่วงที่อยู่ที่ปารีสเธอมักใช้เวลาของส่วนใหญ่พบและประชุมกับพนักงานประจำต่างประเทศ ที่เห็นเธอยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์เป็นเพราะเมื่อสินค้าใหม่ไปถึงร้านค้าทั่วโลก แผนกต่างๆส่งอีเมลถึงเธอเพื่อให้ช่วยดูการจัดสินค้าและหน้าร้าน ว่าโอเคมั้ย ซึ่งเป็นงานที่เธอจะลงในรายละเอียดเองเสมอ เพราะนั่นคือภาพของกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ที่เธอเป็นคนสร้างและมีเพียงตาของเธอเท่านั้นที่บอกได้ว่านั่นใช่สิ่งที่เธอต้องการหรือไม่
สิ่งที่ทำให้การทำงานของเรย์ยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าเกิดจากพลังที่เป็นเหมือนแรงผลักดัน เธอเชื่อว่าหากคนเราไม่มีแรงจูงใจในการ แต่งตัวก็จะไม่มีฟังก์ชั่นอื่นเกิดขึ้นนอกจากเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายปลอดภัยและอบอุ่น การไม่อยู่นิ่งทำให้เธอก้าวไปข้างหน้าได้ ซึ่งแนวทางของเรย์ คือการเคลื่อนต่อไป เธอเผยยังไม่เคยพักเพื่อเติมพลัง มีแต่อยากจะไปต่อ และพลังนั้นเหมือนแรงเหวี่ยงที่จะทำให้เริ่มต้นใหม่ๆ
ถึงตรงนี้บ.ก.วาตานาเบะถามแทนทุกคนว่า แล้วพลังในการทำงานของเรย์ คาวาคูโบะ มาจากไหน มีอะไรที่จะหยุดพลังนั้นได้บ้าง
“อาจมาจากการเดินหน้าต่อไป เราพูดถึงการหมุนต่อไป แต่ในทางปฏิบัติการกระทำซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องไม่ได้ทำให้คุณเคลื่อนไปข้างหน้า แต่มันให้คุณขับเคลื่อนตามที่คุณต้องการ ฉันมีมาตรฐานของตัวเอง มันอาจจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบุคลิกของฉัน มาตรฐานที่ฉันใช้ อาจดูค่อนข้างก้าวร้าว แต่นั่นก็เป็นแรงจูงใจให้ก้าวไปข้างหน้า ในธุรกิจของฉันการก้าวไปข้างหน้าหมายถึงคุณได้ทำอะไรที่น่าสนใจ แม้จะมีอุปสรรคก็ตาม
ฉันยังไม่เจอวิธีที่จะหยุดตัวเอง เพราะยังมีคนที่ทำงานกับฉันมานานปี ฉะนั้นถ้าหยุดไม่ใช่ฉันคนเดียวที่รับผลกระทบ แต่คนที่ร่วมงาน กับฉันที่ฉันต้องรักษาไว้จะกระทบด้วย ฉันจะไม่เดินไปกับคนที่มีความคิดแตกต่าง ความสำเร็จของเรามาจากการทำงานร่วมกัน
หากสิ่งที่ทำให้เราหยุด เป็นสิ่งที่น่าสนใจ นั่นน่าจะเป็นความคิดที่ดีที่สุด ฉันว่าการประกาศว่าเราหยุดแล้วน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดด้วย”
แต่ด้วยพลังที่ไม่มีวันหมดที่มาพร้อมความคิดและสายตาอันเฉียบแหลมของเรย์ คาวาคูโบะ ทำให้กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ยังไปไม่ถึงจุดนั้น และแน่นอนว่ายังมีอะไรที่ก้าวล้ำนำสมัยให้แฟนๆได้ติดตามต่อไป




Dover Street Parfums Market
อีกเรื่องที่บ.ก.วาตานาเบะอยากรู้คือการขยายร้านเปิดตลาดใหม่ของกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ หนึ่งในนั้นคือ Dover Street Parfums Market ที่เปิดตัวในปารีสในวันที่ 1 ตุลาคม เรย์ได้อธิบายที่มาของร้านนี้ว่า จริงๆ กอมม์ เดส์ การ์ซงส์มีร้านน้ำหอมเล็กๆในปารีสอยู่แล้ว และเมื่อจะปิดร้านนั้นโครงการนี้จึงเริ่มขึ้น เป็นการดำเนินการที่มีแนวคิดและวิธีการทางการตลาดที่แตกต่างจากร้านน้ำมีหอมที่มีอยู่มากมายในปารีสเล็กน้อย เป็นการทำให้ร้านมีบรรยากาศของความวุ่นวายในรูปแบบของ Dover Street Market แต่ขนาดเล็กกว่าร้านอื่นๆของแบรนด์เดียวกัน
แม้เรย์จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่เธอยังคงทำงานตามตรรกะของตนเอง คือดูแลการทำงานอย่างใกล้ชิด ทุกอย่างต้องผ่านตาของเธอ ซึ่งสามารถทำแบบนั้นได้เพราะเธอไม่ได้มีทีมงานที่ใหญ่ จึงดูแลส่วนต่างๆได้ทั่วถึงว่าข้อมูลที่ส่งถึงกันนั้นถูกต้องไหม แม้วันนี้จะมีอีเมลที่ทำให้การทำงานง่ายขึ้นแต่เรย์ก็ยังคงยุ่งและวุ่นวายกับงานไม่จบ
เรย์เชื่อว่าในขณะที่โลกโดยรวมกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งที่ทำให้การทำงานของกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ยังคงก้าวไปอย่าง ต่อเนื่องโดยไม่ถูกการเปลี่ยนแปลงครอบงำ มาจากขนาดของธุรกิจที่เธอสามารถดูแลได้
บ.ก.วาตานาเบะเล่าว่า ตอนไปเยี่ยมชมโชว์รูมที่ปารีสหลังจากชมคอลเลคชั่นในซีซั่นก่อน เธอเห็นเรย์นั่งอยู่ในห้องกระจกด้านหลัง กำลังทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์ แต่เรย์บอกว่าช่วงที่อยู่ที่ปารีสเธอมักใช้เวลาของส่วนใหญ่พบและประชุมกับพนักงานประจำต่างประเทศ ที่เห็นเธอยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์เป็นเพราะเมื่อสินค้าใหม่ไปถึงร้านค้าทั่วโลก แผนกต่างๆส่งอีเมลถึงเธอเพื่อให้ช่วยดูการจัดสินค้าและหน้าร้าน ว่าโอเคมั้ย ซึ่งเป็นงานที่เธอจะลงในรายละเอียดเองเสมอ เพราะนั่นคือภาพของกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ที่เธอเป็นคนสร้างและมีเพียงตาของเธอเท่านั้นที่บอกได้ว่านั่นใช่สิ่งที่เธอต้องการหรือไม่
สิ่งที่ทำให้การทำงานของเรย์ยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าเกิดจากพลังที่เป็นเหมือนแรงผลักดัน เธอเชื่อว่าหากคนเราไม่มีแรงจูงใจในการ แต่งตัวก็จะไม่มีฟังก์ชั่นอื่นเกิดขึ้นนอกจากเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายปลอดภัยและอบอุ่น การไม่อยู่นิ่งทำให้เธอก้าวไปข้างหน้าได้ ซึ่งแนวทางของเรย์ คือการเคลื่อนต่อไป เธอเผยยังไม่เคยพักเพื่อเติมพลัง มีแต่อยากจะไปต่อ และพลังนั้นเหมือนแรงเหวี่ยงที่จะทำให้เริ่มต้นใหม่ๆ
ถึงตรงนี้บ.ก.วาตานาเบะถามแทนทุกคนว่า แล้วพลังในการทำงานของเรย์ คาวาคูโบะ มาจากไหน มีอะไรที่จะหยุดพลังนั้นได้บ้าง
“อาจมาจากการเดินหน้าต่อไป เราพูดถึงการหมุนต่อไป แต่ในทางปฏิบัติการกระทำซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องไม่ได้ทำให้คุณเคลื่อนไปข้างหน้า แต่มันให้คุณขับเคลื่อนตามที่คุณต้องการ ฉันมีมาตรฐานของตัวเอง มันอาจจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบุคลิกของฉัน มาตรฐานที่ฉันใช้ อาจดูค่อนข้างก้าวร้าว แต่นั่นก็เป็นแรงจูงใจให้ก้าวไปข้างหน้า ในธุรกิจของฉันการก้าวไปข้างหน้าหมายถึงคุณได้ทำอะไรที่น่าสนใจ แม้จะมีอุปสรรคก็ตาม
ฉันยังไม่เจอวิธีที่จะหยุดตัวเอง เพราะยังมีคนที่ทำงานกับฉันมานานปี ฉะนั้นถ้าหยุดไม่ใช่ฉันคนเดียวที่รับผลกระทบ แต่คนที่ร่วมงาน กับฉันที่ฉันต้องรักษาไว้จะกระทบด้วย ฉันจะไม่เดินไปกับคนที่มีความคิดแตกต่าง ความสำเร็จของเรามาจากการทำงานร่วมกัน
หากสิ่งที่ทำให้เราหยุด เป็นสิ่งที่น่าสนใจ นั่นน่าจะเป็นความคิดที่ดีที่สุด ฉันว่าการประกาศว่าเราหยุดแล้วน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดด้วย”
แต่ด้วยพลังที่ไม่มีวันหมดที่มาพร้อมความคิดและสายตาอันเฉียบแหลมของเรย์ คาวาคูโบะ ทำให้กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ยังไปไม่ถึงจุดนั้น และแน่นอนว่ายังมีอะไรที่ก้าวล้ำนำสมัยให้แฟนๆได้ติดตามต่อไป