เมื่อ COMME des GARCONS ได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์ที่มีดีไซน์ล้ำยุค นำสมัย ไม่เหมือนใครแล้ว จึงไม่แปลกที่แบรนด์ที่ได้ชื่อว่าเป็นขบถของวงการแฟชั่น จะเป็นแบรนด์ที่ทำอะไรก่อนคนอื่นเสมอ
เรย์ คาวาคูโบะ ได้เป็นผู้นำในการออกแบบหลายๆอย่าง แต่ถ้าจะพูดถึงความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่เมื่อใครเห็นก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ทำมาก่อนใครน่าจะเป็น 6 อย่างนี้



Androgyny
Androgyny หรือการไร้เพศ คือคำจำกัดความที่ใช้ขยายความหมายของแฟชั่นที่ผสมผสานความเป็น Feminine และ Masculine หรือความเป็นผู้หญิงกับผู้ชายไว้ด้วยกันซึ่งก่อนที่แบรนด์ดังอย่าง Gucci Prada หรือ Vetements จะถูกจับตามองว่ากำลังเป็นผู้นำเทรนด์ Androgyny Style การออกแบบเสื้อผ้าที่ผู้หญิงและผู้ชายสามารถใส่ด้วยกันได้ กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ทำมาก่อนแล้วตั้งแต่คอลเล็คชั่นสปริง/ซัมเมอร์ 1995 ที่ตั้งชื่อว่า Transcending Gender
คอลเล็คชั่นนั้นเรย์นำเสนอสูทตัวโคร่งตัดเย็บในสไตล์เทย์เลอร์แบบผู้ชายให้ผู้หญิงสวมใส่เกิดเป็นลุคใหม่ที่สะดุดตา



Unfinished Fashion
Unfinished Fashion คือเสื้อผ้าที่ปล่อยชายหลุดรุ่ย หรือเก็บตะเข็บผ้าไม่เรียบร้อยเหมือนยังตัดเย็บไม่เสร็จ ซึ่งเมื่อกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ เปิดตัวคอลเล็คชั่นสปริง/ซัมเมอร์ 1992 คงสร้างความแปลกตาให้กับผู้ชมแฟชั่นโชว์ในวันนั้นเป็นอย่างยิ่งว่านี่คือความตั้งใจหรือความบังเอิญกันแน่
แต่สำหรับเรย์การทำงานไม่เคยมีเรื่องที่ไม่ตั้งใจ การออกแบบนี้ได้ผ่านความคิดการกลั่นกรองมาแล้วแน่นอนจึงเกิดเป็นสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร



Grunge
แฟชั่นแนวนี้มีชื่อเรียกว่า Grunge หรือความดิบ เกิดจากการผสมผสานระหว่างสไตล์พังค์กับแคชช่วลเอาท์ดอร์ตั้งแต่ในยุค 90 และยังคงมีบทบาทในวงการแฟชั่นต่อเนื่องมาจนบัดนี้
และเมื่อพูดถึง สไตล์ กรันจ์ ชื่อ มาร์ค จาค็อบส์ ดีไซเนอร์ที่ทำงานในลักษณะนี้ตั้งแต่ยังไม่ทำแบรนด์ของตัวเองจะถูกเอ่ยถึงเป็นชื่อแรกๆ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ก็ออกแบบเสื้อผ้าสไตล์กรันจ์ในช่วงเวลาเดียวกันโดยผ่านการตีความในรูปแบบของตัวเองและนำเสนอให้เห็นในคอลเล็คชั่น Fall/Winter 1993



Monochrome
สีดำสีเดียว เป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ที่ผู้คนจดจำความเป็นกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ได้ติดตา ยิ่งเมื่อจับคู่กับ โมโนโครม สไตล์ ความเป็นแบรนด์ที่ไม่ยึดติดกับกรอบและขนบภาพนั้นยิ่งชัดขึ้น เริ่มตั้งแต่คอลเล็คชั่น Destroy ที่เปิดตัวในปี 1982 โดยสีดำที่เรย์ นำมาใช้ เกิดจากแรงบันดาลใจในเหตุการณ์ที่เมืองฮิโรชิมาถูกระเบิดปรมาณูทำลายในสงครามโลกครั้งที่ 2 และในปี 2009 กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ได้กลับมาทำเสื้อผ้าสีดำเป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้งจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไปเรียบร้อย



Crazy Volume
ความหนาใหญ่ เทอะทะ ทำให้มีคนเรียกเสื้อผ้าที่มีรูปทรงแปลกประหลาดใหญ่กว่าความเป็นจริงของกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ว่า Crazy Volume ที่เมื่อแรกเห็นคนส่วนใหญ่มักจะตั้งคำถามว่าทำไมออกแบบให้มีรูปทรงที่ดูแล้วไม่รู้ว่าสวมใส่ยังไง สวมใส่ได้จริงไหม ตัดเย็บอย่างไร โดยเฉพาะรันเวย์คอลเล็คชั่นที่สร้างความตะลึงเหนือความคาดหมายและการรอคอยให้กับผู้ชมเสมอว่าจะได้เห็นงานสร้างสรรค์จินตนาการใดจากเรย์ ซึ่งจะถูกกล่าวถึงและเป็นที่จดจำตลอดไป



Asymmetric Steez
Asymmetric Steez หรือ ความอสมมาตร เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ทำมาก่อนใคร เสื้อที่แขนเสื้อที่ไม่เท่ากันด้านหน้าและด้านหลังสั้นยาวไม่เท่ากัน ปกเสื้อใหญ่ข้างเล็กข้าง หรือรายละเอียดอื่นที่ไม่เหมือนกัน เป็นการออกแบบที่เราเห็นบ่อยในเสื้อผ้าของกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ซึ่งการออกแบบนั้นเป็นการรื้อโครงสร้างหลักของการออกแบบเสื้อผ้าลงอย่างสิ้นเชิงเห็นได้จากคอลเล็คชั่น Spring/Summer 1997 ที่เรย์ออกแบบจึงได้ชื่อว่า Body Meets Dress , Dress Meets Body ที่บอกเล่าเรื่องราวของเสื้อผ้าว่าไม่จำเป็นต้องมีอะไรที่เท่ากันหรือเหมือนกันอีกต่อไป
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ ทำก่อนใครจนกลายเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ไปแล้วและด้วยความกล้าไม่หยุดนิ่งในการคิดสร้างสรรค์ผลงานนี่เองที่ทำให้วงการแฟชั่นจะได้เห็นอะไรใหม่ๆก่อนใครจากแบรนด์นี้